วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557


ยุคโลหะ
เริ่มจากมนุษย์รู้จักการใช้ทองคำแดงและสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ  มนุษย์สมัยนี้พัฒนากิจกรรมเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  โดยการสร้างระบบชลประทานขื้น  เช่น  สระเก็บน้ำ  ทำนบกั้นน้ำ  ความเปลี่ยนแปลงในทางด้านควาเป็นอยู่ทางสังคมและการเมืองเกิดขึ้นอย่างมาก  ได้เปลี่ยนสภาพความเป็นอู่จากชุมชนกสิกรรมขนาดใหญ่มาเป็นเมืองอย่างแท้จริง  คือ  เมืองเป็นศูนย์กลางของการกสิกรรม  การปกครองและสังคมไปพร้อมๆกัน  คนที่อยู่ในเมืองมิได้มีแต่พวกกสิกรรมอย่างเดียว  ยังมีช่างฝีมือ  นักรบ  และพระผู้ทำหน้าที่ปกครองบริหารเมืองด้วย
            เหตุการณ์ที่เกิดชนชั้นต่าง ๆ  ขึ้นในยุคโลหะนั้น  ก็เป็นเพราะว่าสังคมขยายตัวมากขึ้น  จึงจำเป็นที่จะต้องมีคนทำหน้าที่ต่าง ๆ  เช่น  พระทำหน้าที่เช่นสรวงบูชา  ติดต่อกับเทพเจ้าให้ประทานความอุดมสมบรูณ์ให้แก่ชุมชน   กษัตริย์ก็จะทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง  เป็นต้น  ดังนั้นเราจะพบว่า  โครงสร้างความสัมพันธ์แบบเครือญาติที่เคยเป็นมาแต่เดิมนั้น  ในยุคสำริดเปลี่ยนไปเป็นโครงสร้างแบบที่อาศัยอาชีพและตำแหน่งหน้าที่เป็นเกณฑ์กำหนดกลุ่มคนและความสัมพันธ์ทางสังคม  ซึ่งมักจะแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ  ชนชั้นสูง  ได้แก่  พระ  ขุนนาง  กษัตริย์  นักรบ  ชนชั้นต่ำได้แก่  ชนอิสระ  พวกพ่อค้า  ช่างฝีมือ  ชาวนาและทาส  การแบ่งงาน
และหน้าที่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต  คือ  แต่ละคนทำงานตามความถนัดซึ่งจะได้งานมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนเกินไว้มีผลต่อการเพิ่มผลผลิตคือ  แต่ละคนทำงานตามความถนัดซึ่งจะได้งานมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนเกินไว้แลกเลี่ยนกัน  โดยนัยนี้สินค้าที่ขาดแคลนในท้องถิ่นหนึ่งก็จะได้มาจากอีกหนึ่งโดยอาศัยการค้ากลุ่มชนที่เป็นนักรบเป็นพระก็สามารถเรียกเก็บส่วยจากชาวบ้านไร่ได้  การผลิต  เช่น  การเพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์  เป็นหน้าที่ของชาวนาชาวไร่และพวกทาส  มนุษย์สมัยนี้เริ่มรู้จักใช้เทคโนโลยีง่าย ๆ  เช่นการใช่ลูกล้อในการขนส่งทางบกและในพลังงานจักกล  พวกฮิตไตท์รู้จักปั้นหม้อดินโดยใช้หมุนแล้วเผาในเตาไฟพิเศษ  วิ่งต่อมาอียิปต์และอินเดียก็นำไปใช้บ้างมีการใช้คันไถไม้ทั้งในอียิปต์และเมโสโปเตเมีย  และเริ่มรู้จักการเดินเรือ