ยุคโลหะ
เริ่มจากมนุษย์รู้จักการใช้ทองคำแดงและสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ
มนุษย์สมัยนี้พัฒนากิจกรรมเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสร้างระบบชลประทานขื้น เช่น
สระเก็บน้ำ ทำนบกั้นน้ำ ความเปลี่ยนแปลงในทางด้านควาเป็นอยู่ทางสังคมและการเมืองเกิดขึ้นอย่างมาก
ได้เปลี่ยนสภาพความเป็นอู่จากชุมชนกสิกรรมขนาดใหญ่มาเป็นเมืองอย่างแท้จริง คือ
เมืองเป็นศูนย์กลางของการกสิกรรม
การปกครองและสังคมไปพร้อมๆกัน
คนที่อยู่ในเมืองมิได้มีแต่พวกกสิกรรมอย่างเดียว ยังมีช่างฝีมือ นักรบ และพระผู้ทำหน้าที่ปกครองบริหารเมืองด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดชนชั้นต่าง ๆ ขึ้นในยุคโลหะนั้น ก็เป็นเพราะว่าสังคมขยายตัวมากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีคนทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น
พระทำหน้าที่เช่นสรวงบูชา
ติดต่อกับเทพเจ้าให้ประทานความอุดมสมบรูณ์ให้แก่ชุมชน กษัตริย์ก็จะทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง เป็นต้น
ดังนั้นเราจะพบว่า
โครงสร้างความสัมพันธ์แบบเครือญาติที่เคยเป็นมาแต่เดิมนั้น
ในยุคสำริดเปลี่ยนไปเป็นโครงสร้างแบบที่อาศัยอาชีพและตำแหน่งหน้าที่เป็นเกณฑ์กำหนดกลุ่มคนและความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งมักจะแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ ชนชั้นสูง
ได้แก่ พระ ขุนนาง
กษัตริย์ นักรบ ชนชั้นต่ำได้แก่ ชนอิสระ
พวกพ่อค้า ช่างฝีมือ ชาวนาและทาส
การแบ่งงาน
และหน้าที่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต คือ
แต่ละคนทำงานตามความถนัดซึ่งจะได้งานมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนเกินไว้มีผลต่อการเพิ่มผลผลิตคือ แต่ละคนทำงานตามความถนัดซึ่งจะได้งานมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนเกินไว้แลกเลี่ยนกัน
โดยนัยนี้สินค้าที่ขาดแคลนในท้องถิ่นหนึ่งก็จะได้มาจากอีกหนึ่งโดยอาศัยการค้ากลุ่มชนที่เป็นนักรบเป็นพระก็สามารถเรียกเก็บส่วยจากชาวบ้านไร่ได้ การผลิต
เช่น การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เป็นหน้าที่ของชาวนาชาวไร่และพวกทาส มนุษย์สมัยนี้เริ่มรู้จักใช้เทคโนโลยีง่าย
ๆ เช่นการใช่ลูกล้อในการขนส่งทางบกและในพลังงานจักกล พวกฮิตไตท์รู้จักปั้นหม้อดินโดยใช้หมุนแล้วเผาในเตาไฟพิเศษ วิ่งต่อมาอียิปต์และอินเดียก็นำไปใช้บ้างมีการใช้คันไถไม้ทั้งในอียิปต์และเมโสโปเตเมีย และเริ่มรู้จักการเดินเรือ